Trend Setter
Creative Entrepreneur

ผู้ริเริ่มสร้างโรงแรมที่ไม่ได้เป็นแค่โรงแรมที่ย่านอารีย์กลางกรุงเทพ 

Takeo Kikuchi ชอบที่จะสังสรรค์กับผู้คนที่หลากหลายสาขาอาชีพเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและอุดมการณ์ซึ่งกันและกัน   เวลาที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็นของกันและกัน ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆเพื่อมาเปิดโลกของเรา 

ครั้งนี้เราจึงอยากให้ทุกคนได้รู้จักกับ”เพื่อน” คนสำคัญของเรา เจ้าของ Josh Hotel และ Interior Designer ชื่อดัง
คุณจอง Jakarin Aksornlawadiwat ที่วันนี้จะมาแลกเปลี่ยนความคิดเล็กน้อยๆกับเรา Takeo Kikuchi

T: สวัสดีครับคุณจอง ขอบคุณสำหรับเวลาในวันนี้นะครับ

J: ไม่เป็นไรครับ ยินดีครับ

T: Takeo Kikuchi พึ่งมาอยู่ที่เมืองไทยได้สักพักเราชอบที่จะแลกเปลี่ยนความคิดและทำอะไรสนุกๆกับเหล่าคน Creative ในแขนงต่างๆของประเทศนั้นมาก

ขอบอกเลยว่า Josh Hotel  ดูสนุก และ เป็นอะไรที่มากกว่าโรงแรมทั่วๆไปรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกับ
Takeo Kikuchi อยู่ เลยอยากจะถามว่า Josh Hotel เกิดขึ้นมาได้อย่างไรหรือครับ

J: คือจริงๆต้องบอกก่อนว่าตัวผมอยู่ในสาย Design Industry กับ Hospitality มารวมๆก็ 20 กว่าปีแล้ว ทำพวกที่เกี่ยวกับ Life Style  ของคนแล้วนำเอา  Design เข้าไป  ซึ่งทำให้เรามองเห็น Trend 

ซึ่งจริงๆแล้ว Trend เหล่านี้ในเมืองใหญ่ๆยกตัวอย่าง เช่น Tokyo, London  หรือ New York นั้นมีอยู่แล้วในระดับนึง เลยมองว่ามันน่าจะเกิดขึ้นใน Bangkok ได้เหมือนกัน แล้วผมก็มาเจอตึกเก่าตึกนี้อายุกว่า30ปี  แล้วในย่านอารีย์ ซึ่งเป็นย่านใหม่ของคนกรุงเทพ เทียบกับที่ญี่ปุ่นก็จะนึกถึงย่านเก๋ๆหน่อย น่าจะเหมือนที่ Daikanyama ซึ่ง Character ของคนเหล่านี้ที่ไปสถานที่แบบนี้คือคนรุ่นใหม่ที่มองหาสิ่งที่ต่างจากที่อื่น เลยมองว่าแถวนี้ก็ยังไม่มีใครทำโรงแรมเลย หรือให้พูดจริงๆเลยเราก็พยายามจะมองหา Local Hotel ที่มันมีความลงตัวที่คนรุ่นใหม่มองหาในกรุงเทพไม่เจอ  ซึ่งผมเคยไปแถวชิบูยะที่โตเกียวแล้วรู้สึกชอบมากๆเลยคือ Trunk Hotel …แต่นั้นก็ออกไปทาง  Luxury  หรือ  Premium  หน่อยๆ ถ้ายกตัวอย่างอีกก็พวก The Hoxton หรือ Ace Hotel คือเค้าไม่ได้ทำโรงแรมมาให้เป็นแค่ที่พักอย่างเดียว เราอยากจะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับคนในกรุงเทพ…..คือกรุงเทพมันก็น่าจะมีอะไรแบบนี้และคนในพื้นที่เข้าถึงได้ขึ้นมาบ้าง

T: คือเป็น Destination ที่ทุกคนสามารถมาที่โรงแรมได้โดยที่ไม่ใช่การมานอนพักเพียงอย่างเดียว

J: คือเราพยายามที่จะทำ ”Place” ขึ้นมาไม่ใช่การทำโรงแรม ซึ่งทุกคนสามารถมาใช้บริการได้ โดยมีองค์ประกอบที่คนรุ่นใหม่ๆมองหา เช่นพวก Café, Hidden Bar  หรือ ร้านอาหารเก๋ๆ ไม่ใช่แค่ที่พัก แล้วย่านนี้ก็ใหม่ใช่ใหมครับ…มันมี Happening เกิดขึ้นตลอดเวลา เลยมองว่า Location นี้น่าสนใจ

T: พวก The Hoxton  หรือ  Ace Hotel เค้าชัดเจนมากว่าเป็น  Boutique Hotel แต่ไปทาง  Luxury ซึ่งพวกเค้านำเสนอเป็น Life Style โดยที่มีการทำ  Merchandise หรือ Cafe ให้แก่ผู้ที่มาเยือน

ทีนี้มองว่าตัว Josh Hotel  เองมองตรงจุดนั้นไว้เพียงแต่วิธีการนำเสนอแก่ผู้คนอาจจะต่างออกไป

J: ใช่ๆ คือพูดว่าเราปรับให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายของมันมากกว่า เพราะด้วยอาคารที่ได้มาเราเลยมองย้อนกลับไปในทางพวกยุค….

T: 60th 70th?

J: 70th 80th มากกว่า คือเรามองว่ามันก็สนุกในแง่ของสีสัน และการนำเสนอ แต่เราคงไม่ไปแตะที่ Luxury คือผมมองว่าเกรดใหนเราก็นำ Design เข้าไปได้ไม่จำเป็นว่าต้อง5ดาว4ดาวเท่านั้น

T: ที่เลือกยุคที่บอกมาเป็น Theme นี้มองว่าเหมาะกับตลาดในเมืองไทยมากกว่าหรือครับ

J: ใช่ครับ ด้วย Nature ของคนไทยด้วยโดยเฉพาะเด็กในยุคนี้ แต่จริงๆก็ทั่งโลกนั้นแหละที่คนหาสถานที่ถ่ายรูปแล้วใช้โซเชียลมีเดียในลักษณะของการ PR

T: เท่าทีดูตัวโรงแรมและที่คุณจองออกแบบมาหลายๆงานรู้สึกว่า Style การออกแบบจะมีความสนุกแต่ไม่เยอะจนเกินไป

J: ใช่ๆ

T: ไม่ว่าจะ Ace Hotel  หรือ Trunk Hotel   ที่โตเกียว แต่ที่เมืองไทยถือว่าใหม่มากๆเลย เรียกได้เลยว่า Josh Hotel นี้น่าจะเป็นคนแรกๆหรือเรียกว่าเบอร์ต้นๆเลยในตลาดนี้ที่ไม่ใช่แค่การทำโรงแรมแต่เป็นสถานที่นำเสนอ Life Style แบบนี้

J: ใช่ครับ

T: คิดว่าตลาดนี้จะโตขึ้นอีกใหมครับ

J: ผมเชื่อว่าโตขึ้นครับ คือไม่เรียกว่าเราคือต้นแบบแต่ว่าเวลาที่เราทำอะไรที่แตกต่างจากตลาดปกติคนจะเริ่มหันกลับมาดูว่า เอ้ะทำอะไรกันอยู่ ซึ่งจริงๆมันเกิดขึ้นแล้วแต่มันไม่ได้เกิดขึ้นในโรงแรมเท่านั้นเอง เช่นพวก The Common ที่เน้นเรื่องการดื่มกิน แต่เราเอาที่พักเข้ามา Blend  ปรับให้เข้ากับผู้คนมากกว่า

T: ครั้งนี้เราได้มีโอกาสมาพูดคุยกันคิดว่าแฟชั่นใน Style  ญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้างครับ

J: จริงๆ Style ญี่ปุ่นไม่ใช่ว่าจะนิ่งเงียบตลอดมีความคล้ายๆกับคนไทยอยู่เหมือนกัน เปรียบเทียบเกาหลีกับญี่ปุ่นต่างกันอยู่พอสมควร คนญี่ปุ่นจะมีความหลากหลายมีการนำเอาสิ่งที่ตัวเองชอบมาผสมผสานกันผมว่าคนไทยก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันถ้าเกาหลีก็จะเรียบๆหน่อย  ผู้ชายสมัยใหม่แต่งตัวมากขึ้นด้วยแต่อยู่ที่ความชอบที่แตกต่างกัน

T: ผู้ชายไทยสมัยนี้แต่งตัวเก่งขึ้นเยอะมาก ชัดเจนว่าตัวเองชอบอะไร

J: เอาจริงๆเสื้อผู้ชายแพงกว่าเสื้อผู้หญิงนะ

T&J: หัวเราะ

T: ตลาดเสื้อผ้าผู้ชายเองก็น่าจะเติบโตขึ้นครับ ผู้ชายไทยสมัยนี้มีรสนิยมกับความชอบชัดเจนมีความ  Sophisticate  ในการใช้ชีวิตมาก

J: จริงๆตอนนี้เรายังพูดถึงแค่กรุงเทพอย่างเดียว ซึ่งเรามีหัวเมืองใหญ่ๆอีกเยอะ เชียงใหม่ ภูเก็ต ทางอีสานเองอุดร ขอนแก่นนี้ไม่ใช่เมืองเล็กๆเลย สมัยนี้มันก็ไม่ได้ช้ากว่ากันขนาดนั้นแต่เรามีของไปหาเค้าหรือป่าวเท่านั้นเอง

T: ทางเราเป็น  Fashion Brand ทำMen’s Wear   มาจากญี่ปุ่นคิดว่าจะเหมาะกับคนไทยใหมครับ หรือคิดว่าสมัยนี้พวก  Street Wear แบบ American Style จะดีกว่า

J: ไม่น่านะครับ อย่างเราเองก็หยิบจับเอากลิ่นอาย Post-Modern  เมื่อ 30 ปีที่แล้วมาทำแต่ทำให้สนุกมากขึ้นเท่านั้นเองคือเราชอบพวกเครื่องเรือนเท่ๆด้วย คนไทยเดียวนี้ฉลาดเลือกของให้ตัวเองมาก

T: คุณจองชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นนี้ครับ ปกติถ้าไปจะไปอยู่แถวใหนเป็นพิเศษหรือป่าวครับ

J: ผมชอบย่าน Nakameguro มากเลยครับ

T: ย่านเก๋เลยครับ พวกเฟอร์นิเจอร์เก่าๆเก๋ๆเต็มเลย

J: ใช่ครับมีพวก Bar ฮิปๆอยู่เหมือนกันนะ

T: โอเค ครั้งนี้ต้องขอบคุณนะครับที่มานั้งคุยด้วยกัน

J: ไม่เป็นไรครับ Josh เรายินดีเสมอเลยครับ มีอะไรก็ติดต่อเข้ามาเลยนะครับ

ผู้ริเริ่มสร้างโรงแรมที่ไม่ได้เป็นแค่โรงแรมที่ย่านอารีย์กลางกรุงเทพ 

Takeo Kikuchi ชอบที่จะสังสรรค์กับผู้คนที่หลากหลายสาขาอาชีพเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและอุดมการณ์ซึ่งกันและกัน   เวลาที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็นของกันและกัน ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆเพื่อมาเปิดโลกของเรา 

ครั้งนี้เราจึงอยากให้ทุกคนได้รู้จักกับ”เพื่อน” คนสำคัญของเรา เจ้าของ Josh Hotel และ Interior Designer ชื่อดัง คุณจอง Jakarin Aksornlawadiwat ที่วันนี้จะมาแลกเปลี่ยนความคิดเล็กน้อยๆกับเรา Takeo Kikuchi

T: สวัสดีครับคุณจอง ขอบคุณสำหรับเวลาในวันนี้นะครับ

J: ไม่เป็นไรครับ ยินดีครับ

T: Takeo Kikuchi พึ่งมาอยู่ที่เมืองไทยได้สักพักเราชอบที่จะแลกเปลี่ยนความคิดและทำอะไรสนุกๆกับเหล่าคน Creative ในแขนงต่างๆของประเทศนั้นมาก

ขอบอกเลยว่า Josh Hotel  ดูสนุก และ เป็นอะไรที่มากกว่าโรงแรมทั่วๆไปรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกับ Takeo Kikuchi อยู่ เลยอยากจะถามว่า Josh Hotel เกิดขึ้นมาได้อย่างไรหรือครับ

J: คือจริงๆต้องบอกก่อนว่าตัวผมอยู่ในสาย Design Industry กับ Hospitality มารวมๆก็ 20 กว่าปีแล้ว ทำพวกที่เกี่ยวกับ Life Style  ของคนแล้วนำเอา  Design เข้าไป  ซึ่งทำให้เรามองเห็น Trend 

ซึ่งจริงๆแล้ว Trend เหล่านี้ในเมืองใหญ่ๆยกตัวอย่าง เช่น Tokyo, London  หรือ New York นั้นมีอยู่แล้วในระดับนึง เลยมองว่ามันน่าจะเกิดขึ้นใน Bangkok ได้เหมือนกัน แล้วผมก็มาเจอตึกเก่าตึกนี้อายุกว่า30ปี แล้วในย่านอารีย์ ซึ่งเป็นย่านใหม่ของคนกรุงเทพ เทียบกับที่ญี่ปุ่นก็จะนึกถึงย่านเก๋ๆหน่อย น่าจะเหมือนที่ Daikanyama ซึ่ง Character ของคนเหล่านี้ที่ไปสถานที่แบบนี้คือคนรุ่นใหม่ที่มองหาสิ่งที่ต่างจากที่อื่น เลยมองว่าแถวนี้ก็ยังไม่มีใครทำโรงแรมเลย หรือให้พูดจริงๆเลยเราก็พยายามจะมองหา Local Hotel ที่มันมีความลงตัวที่คนรุ่นใหม่มองหาในกรุงเทพไม่เจอ  ซึ่งผมเคยไปแถวชิบูยะที่โตเกียวแล้วรู้สึกชอบมากๆเลยคือ Trunk Hotel …แต่นั้นก็ออกไปทาง  Luxury  หรือ  Premium  หน่อยๆ ถ้ายกตัวอย่างอีกก็พวก The Hoxton หรือ Ace Hotel คือเค้าไม่ได้ทำโรงแรมมาให้เป็นแค่ที่พักอย่างเดียว เราอยากจะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับคนในกรุงเทพ…..คือกรุงเทพมันก็น่าจะมีอะไรแบบนี้และคนในพื้นที่เข้าถึงได้ขึ้นมาบ้าง

T: คือเป็น Destination ที่ทุกคนสามารถมาที่โรงแรมได้โดยที่ไม่ใช่การมานอนพักเพียงอย่างเดียว

J: คือเราพยายามที่จะทำ ”Place” ขึ้นมาไม่ใช่การทำโรงแรม ซึ่งทุกคนสามารถมาใช้บริการได้ โดยมีองค์ประกอบที่คนรุ่นใหม่ๆมองหา เช่นพวก Café, Hidden Bar  หรือ ร้านอาหารเก๋ๆ ไม่ใช่แค่ที่พัก แล้วย่านนี้ก็ใหม่ใช่ใหมครับ…มันมี Happening เกิดขึ้นตลอดเวลา เลยมองว่า Location นี้น่าสนใจ

T: พวก The Hoxton  หรือ  Ace Hotel เค้าชัดเจนมากว่าเป็น  Boutique Hotel แต่ไปทาง  Luxury ซึ่งพวกเค้านำเสนอเป็น Life Style โดยที่มีการทำ  Merchandise หรือ Cafe ให้แก่ผู้ที่มาเยือน

ทีนี้มองว่าตัว Josh Hotel  เองมองตรงจุดนั้นไว้เพียงแต่วิธีการนำเสนอแก่ผู้คนอาจจะต่างออกไป

J: ใช่ๆ คือพูดว่าเราปรับให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายของมันมากกว่า เพราะด้วยอาคารที่ได้มาเราเลยมองย้อนกลับไปในทางพวกยุค….

T: 60th 70th?

J: 70th 80th มากกว่า คือเรามองว่ามันก็สนุกในแง่ของสีสัน และการนำเสนอ แต่เราคงไม่ไปแตะที่ Luxury คือผมมองว่าเกรดใหนเราก็นำ Design เข้าไปได้ไม่จำเป็นว่าต้อง5ดาว4ดาวเท่านั้น

T: ที่เลือกยุคที่บอกมาเป็น Theme นี้มองว่าเหมาะกับตลาดในเมืองไทยมากกว่าหรือครับ

J: ใช่ครับ ด้วย Nature ของคนไทยด้วยโดยเฉพาะเด็กในยุคนี้ แต่จริงๆก็ทั่งโลกนั้นแหละที่คนหาสถานที่ถ่ายรูปแล้วใช้โซเชียลมีเดียในลักษณะของการ PR

T: เท่าทีดูตัวโรงแรมและที่คุณจองออกแบบมาหลายๆงานรู้สึกว่า Style การออกแบบจะมีความสนุกแต่ไม่เยอะจนเกินไป

J: ใช่ๆ

T: ไม่ว่าจะ Ace Hotel  หรือ Trunk Hotel   ที่โตเกียว แต่ที่เมืองไทยถือว่าใหม่มากๆเลย เรียกได้เลยว่า
Josh Hotel นี้น่าจะเป็นคนแรกๆหรือเรียกว่าเบอร์ต้นๆเลยในตลาดนี้ที่ไม่ใช่แค่การทำโรงแรมแต่เป็นสถานที่นำเสนอ Life Style แบบนี้

J: ใช่ครับ

T: คิดว่าตลาดนี้จะโตขึ้นอีกใหมครับ

J: ผมเชื่อว่าโตขึ้นครับ คือไม่เรียกว่าเราคือต้นแบบแต่ว่าเวลาที่เราทำอะไรที่แตกต่างจากตลาดปกติคนจะเริ่มหันกลับมาดูว่า เอ้ะทำอะไรกันอยู่ ซึ่งจริงๆมันเกิดขึ้นแล้ว
แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นในโรงแรมเท่านั้นเอง เช่นพวก The Common ที่เน้นเรื่องการดื่มกิน แต่เราเอาที่พักเข้ามา Blend  ปรับให้เข้ากับผู้คนมากกว่า

T: ครั้งนี้เราได้มีโอกาสมาพูดคุยกันคิดว่าแฟชั่นใน Style  ญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้างครับ

J: จริงๆ Style ญี่ปุ่นไม่ใช่ว่าจะนิ่งเงียบตลอดมีความคล้ายๆกับคนไทยอยู่เหมือนกัน เปรียบเทียบเกาหลีกับญี่ปุ่นต่างกันอยู่พอสมควร คนญี่ปุ่นจะมีความหลากหลายมีการนำเอาสิ่งที่ตัวเองชอบมาผสมผสานกันผมว่าคนไทยก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันถ้าเกาหลีก็จะเรียบๆหน่อย  ผู้ชายสมัยใหม่แต่งตัวมากขึ้นด้วยแต่อยู่ที่ความชอบที่แตกต่างกัน

T: ผู้ชายไทยสมัยนี้แต่งตัวเก่งขึ้นเยอะมาก ชัดเจนว่าตัวเองชอบอะไร

J: เอาจริงๆเสื้อผู้ชายแพงกว่าเสื้อผู้หญิงนะ

T&J: หัวเราะ

T: ตลาดเสื้อผ้าผู้ชายเองก็น่าจะเติบโตขึ้นครับ ผู้ชายไทยสมัยนี้มีรสนิยมกับความชอบชัดเจนมีความ  Sophisticate  ในการใช้ชีวิตมาก

J: จริงๆตอนนี้เรายังพูดถึงแค่กรุงเทพอย่างเดียว ซึ่งเรามีหัวเมืองใหญ่ๆอีกเยอะ เชียงใหม่ ภูเก็ต ทางอีสานเองอุดร ขอนแก่นนี้ไม่ใช่เมืองเล็กๆเลย สมัยนี้มันก็ไม่ได้ช้ากว่ากันขนาดนั้นแต่เรามีของไปหาเค้าหรือป่าวเท่านั้นเอง

T: ทางเราเป็น  Fashion Brand ทำMen’s Wear   มาจากญี่ปุ่นคิดว่าจะเหมาะกับคนไทยใหมครับ หรือคิดว่าสมัยนี้พวก  Street Wear แบบ American Style จะดีกว่า

J: ไม่น่านะครับ อย่างเราเองก็หยิบจับเอากลิ่นอาย Post-Modern  เมื่อ 30 ปีที่แล้วมาทำแต่ทำให้สนุกมากขึ้นเท่านั้นเองคือเราชอบพวกเครื่องเรือนเท่ๆด้วย คนไทยเดียวนี้ฉลาดเลือกของให้ตัวเองมาก

T: คุณจองชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นนี้ครับ ปกติถ้าไปจะไปอยู่แถวใหนเป็นพิเศษหรือป่าวครับ

J: ผมชอบย่าน Nakameguro มากเลยครับ

T: ย่านเก๋เลยครับ พวกเฟอร์นิเจอร์เก่าๆเก๋ๆเต็มเลย

J: ใช่ครับมีพวก Bar ฮิปๆอยู่เหมือนกันนะ

T: โอเค ครั้งนี้ต้องขอบคุณนะครับที่มานั้งคุยด้วยกัน

J: ไม่เป็นไรครับ Josh เรายินดีเสมอเลยครับ มีอะไรก็ติดต่อเข้ามาเลยนะครับ