OATSxSOMEWHERE
OATS X SOMEWHERE

OATS x SOMEWHERE

Creative Entrepreneur Interview Series 3

ทาเคโอะ คิคูชิ ชอบที่จะสังสรรค์กับผู้คนที่หลากหลายสาขาอาชีพเพื่อแลก
เปลี่ยนความคิดและอุดมการณ์ซึ่งกันและกันเวลาที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็น ของกันและกันทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆเพื่อมาเปิดโลกของเรา ครั้งนี้เราจึงอยากให้ทุกคนได้รู้จักกับ “เพื่อน”
คนสำคัญของเรา เจ้าของเพจท่องเที่ยว OATS X SOMEWHERE และเจ้าของร้านโดนัทชื่อดัง Drop by Dough คุณโอ๊ต และ คุณโอ๊ตซึ ที่วันนี้จะมาแลกเปลี่ยนความคิดเล็กน้อยๆกับเรากันครับ

“ We love to travel and share where we have been
                      and what we like, so go somewhere with us ”

“ We love to travel and share where we have been and what we like, so go somewhere with us ”

T: สวัสดีครับ ขอต้อนรับคุณผู้ฟังและคุณลูกค้าของเรา เข้าสู่ Takeo Kikuchi Podcast Interview Creative Entrepreneur Series 3 ที่เราจะมานำเสนอบุคคลที่มีความน่าสนใจ มาพูดคุยกันกับเรา ซึ่งในครั้งนี้ก็ดำเนินมาเป็นครั้งที่ 3 แล้วนะครับ ขอต้อนรับคุณโอ๊ตและคุณโอ๊ตซึเจ้าของเพจท่องเที่ยว Oats x SOMEWHERE ครับ

Oat/Oattsu: สวัสดีครับ

T: สวัสดีอีกครั้งอย่างเป็นทางการ คุณโอ๊ต และ คุณโอ๊ตซึนะครับ อยากให้ทั้งสองท่านแนะนำตัวเองนิดนึงครับ

Oattsu: สวัสดีครับ โอ๊ตซึนะครับ
Oat: ครับ โอ๊ตครับผม

T: วันนี้เราอยากจะมาพูดคุยถึงเบื้องหลังของทั้งสองท่านนะครับ ว่ากว่าจะมาเป็นเพจ OATS X SOMEWHERE ในทุกวันนี้ มีประสบการณ์ผ่านอะไรมาบ้าง ที่อยากจะแชร์ให้พวกเราฟังเพื่อที่จะ สร้างแรงบรรดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ที่มีความฝันแล้วก็อยากเป็น Travel influencer แบบทั้งสองท่าน

Oattsu: ครับ สำหรับเพจ OATS X SOMEWHERE นะครับ มันน่าจะเกิดมาจากตอนที่โอ๊ตซึกับโอ๊ตทำงานที่เดียวกัน ตอนนั้นผมเป็น Digital Marketing ของแบรนด์ Luxury Skincare แบรนด์นึง แล้วพอเหมือนมีเวลาว่าง เราก็มักจะชวนกับไปท่องเที่ยว ก็จะเริ่มคุยกันว่าเราจะจัดทริปไปไหนดี

Oat: ใช่ครับ ก็จริงๆจุดเริ่มต้นมันอาจจะเกิดมาจากการที่เราแค่เพื่อนๆกัน จริงๆไม่ได้มีแค่สองคนนะครับ ก็จะมีคนอื่นๆด้วยที่ไป เพียงแต่ว่าทริปแรกไปกันสองคน แล้วพอโพสรูปออกไป ก็มีคนถามกันเยอะว่า เฮ้ย ไปยังไง มีรายละเอียดยังไง ก็เลยรู้สึกว่าทำเพจดีกว่า คุยทีเดียว คนจะได้เห็นภาพสวยๆด้วย แล้วก็ได้อ่านข้อความเข้าใจกันเลยทีเดียวครับ

Oattsu: ครับ เหมือนในทริปแรก เราก็จะแบบมีรูปภาพแล้วเหมือนเขียนอธิบาย ขั้นตอนวิธีการไปแบบละเอียดอะไรแบบนี้อะครับ เวลาเราส่งให้เพื่อน เค้าก็จะไปตามได้เลย เหมือนตอนนั้นน่าจะเป็นลักษณะของการบอกเล่าให้เพื่อนฟังมากกว่า

T: แล้วทั้งสองท่านจบจากที่ไหนกันมาบ้างครับ

Oattsu: โอ๊ตซึจบ Communication Arts เอกโฆษณาที่มหาวิทยาลัยศิลปากรครับ
Oat: โอ๊ตจบเศรษฐศาสตร์ ที่เชียงใหม่ครับ

T: ก็เรียกได้ว่าจบค่อนข้างต่างกัน คิดว่าที่เรียนมาได้นำมาปรับใช้กับการทำเพจหรือว่าในชีวิตยังไงบ้างค รับ

Oattsu: โอ๊ตว่าตอนเรียนมันน่าจะช่วงถึงการที่เราต้องคิด Creative Concept หรือว่าสร้่างสิ่งใหม่ๆออกมาตลอดเวลา คือเหมือนการคิดโฆษณาก็ต้องทำยังไงให้มันดูน่าสนใจอะไรแบบนี้ครับ ก็เลยคิดว่าน่าจะได้เอาใช้ในส่วนนี้ ความ Creative ความคิดสร้างสรรค์ครับผม

Oat: สำหรับโอ๊ตครับ ก็เศรษฐศาสตรอะมันเป็นทฤษฎีแนวคิดที่มันค่อนข้างกว้าง ถ้าถามว่าเอามาใช้ในการทำเพจไหมอะครับ ก็อาจจะไม่ได้เอามาใช้มากขนาดนั้น แต่ว่า จริงๆศาสตร์ของเศรษฐศาสตร์อะมันเป็นแนวคิดที่เราใช้ในชีวิตประจำวันทุกวันได้ การจัดการในเรื่องต่างๆการบริหาร สิ่งที่มีอยู่หรือว่าเรื่องของเวลาครับ T: แล้วคิดว่าคนทั่วไป ตั้งแต่ทำเพจมามองเราในฐานะ Travel Influencer ไหมครับ

Oattsu: ส่วนตัวโอ๊ตไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็น Travel Influencer อะไรขนาดนั้นครับ มันอาจจะเริ่มจากการที่เราเหมือน ชอบไปในที่ต่างๆ อาจจะมีคนที่ตามเรา เขาก็รู้สึกว่า เออน่าไป แล้วเขาก็จะมาถามเรามากกว่าครับ ว่าแบบไปยังไง หรือว่าอันนี้คืออะไร แบรนด์อะไรที่ใช้ อะไรแบบนี้ครับผม ก็รู้สึกดีที่แบบมีคนสนใจ หรือบางทีเราอาจจะสามารถช่วยในจังหวัดนึง ที่เราไปแล้วทำให้คนไปตาม ทำให้เกิดการท่องเที่ยวที่นั่นได้อะไรแบบนี้ครับ

Oat: สำหรับโอ๊ตนะครับ จริงๆเราก็รู้สึกเขินแหละ ที่คนเรียกเราว่า Travel Influencer แต่เราก็รู้สึกว่าเราอาจจะไม่ได้ Influence ทุกคนขนาดนั้น เพราะว่าแต่ละทริปหรือว่าแต่ละสถานที่ที่เราไป เราก็เลือกมาแบบที่เราชอบอะครับ สมมติว่าเราไปจังหวัดนึงอะครับ เราอาจจะไม่ได้ไปทุกที่ได้ ด้วยเวลาที่จำกัด เราก็แค่เลือกบางสถานที่ ที่มันตรงกับความชอบของเราอะไรแบบนี้ พอเราโพสคอนเทนต์เหล่านั้นออกไปอะครับ เราก็ดีใจนะครับที่วีคถัดมาหรือว่าเดือนนึงถัดมา คนไปสถานที่เหล่านั้น เพราะเราก็รู้สึกว่าเออดีจังเลยที่มีคนชอบแบบเดียวกับเรา คิดแบบนั้นมากกว่า

T: แล้วไปทำคอนเทนต์ที่ไหนมาเป็นที่แรกครับ Oat: ไต้หวัน Oattsu: ที่แรกที่เปิดเพจเลยเป็นไต้หวันครับ T: เป็นต่างประเทศเลย

Oattsu: ใช่ เป็นต่างประเทศเลยครับ
Oat: ใช่ครับ เป็นต่างประเทศเลย

Oattsu: ตอนนั้นเหมือนไป ‘Sun Moon Lake’ แล้วก็ ‘Alishan’ น่ะครับ ซึ่งตอนนั้นโอ๊ตหาข้อมูลเองอ มันก็จะมีความยากอยู่ตรงที่ว่ามันจะนั่งรถไปยังไง เปลี่ยนเมืองยังไง มันก็จะงงๆนิดนึง แต่ว่าเราก็ทำการบ้านไป แล้วจุดนี้แหละ โอ๊ตว่ามันเป็นสิ่งที่เราไปเจอจริงๆแล้วเรามาเล่าให้เพื่อนฟังแบบง่ายๆ เพื่อนเราก็สามารถไปตามได้ครับ

Oat: ในทริปนั้นน่ะ เรารู้สึกว่าเราอาจจะไปบังเอิญเจอบางจุดที่คนอาจจะไม่ได้เห็นกันเยอะเท่าไหร่ อย่างสมมติว่าตอนที่เราไป ‘Sun moon Lake’ คนก็จะถ่ายตรง Lake ซะเยอะหรือว่าเป็นตรง Market ใช่ไหมครับ แต่ว่าเราก็เหมือนกับไปเห็นรูปใน Instagram มั้ง ที่มันจะมี Achitechture บางอย่างหรือสถานที่บางอย่างที่มันต้องปั่นจักรยานไปอีกประมาณแบบครึ่งชั่วโมง

Oattsu: อ๋อ มันจะเป็นเหมือน Tourist เป็น City center สักอย่างที่อยู่บนเขาอ่ะครับ ซึ่งถ้าสมมติว่าคนส่วนใหญ่พูดถึง ‘Sun moon Lake’ เขาอาจจะไปที่ทะเลสาปอันนั้นอย่างเดียว แต่ว่าพอเราเหมือนไปเปิดเจอว่ามันมีอันนี้อยู่ ซึ่งมันเป็น Architecture ที่มันสวยแล้วแบบน่าสนใจมาก เราก็เลยปั่นจักรยานขึ้นเขาไป แล้วพอเราถ่ายมา ก็มีลูกเพจหลายคนที่เขามาตาม แล้วเขาก็มาคอมเมนต์แท็กเพื่อนไปว่า เฮ้ย ทำไมเขาไปแล้วไม่เจออะไรแบบนี้ เออ เราก็เลยเหมือนจะค้นพบสถานที่ใหม่ ซึ่งจริงๆคนก่อนหน้านี้อาจจะไปเจอมาแล้วก็ได้ แต่ว่าไม่ได้พูดถึง


T: ก็ค่อนข้างทำการบ้านกันพอสมควร

Oattsu: (หัวเราะ) ครับ
Oat: ทำ หนักเหมือนกันครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนนี้ (ชี้ที่โอ๊ตซึ)

T: โอเคครับ (หัวเราะ) แล้วมีอุปสรรคเยอะไหมครั้งแรก ในการถือกล้องอะไรแบบนี้ ถ้าคอนเทนต์ก็คือคิดกันพอสมควร

Oattsu: อันแรกเราไม่ได้ตั้งใจเลยเนาะ
Oat: มันไปคอนเทนต์ที่ธรรมชาติมาก

Oattsu: ใช่ คือเหมือนโอ๊ตไม่ได้คิดว่าแบบจะถ่ายอะไรเลยอะ แต่คือแค่เราเหมือนแบบไปเที่ยวกันแล้วก็มีอะไรก็ Snap ไว้แบบนั้นเลยครับ แต่คืออุปสรรคมันอาจจะเป็นเพราะว่าเราเดินทางกันหลายเมืองครั้งแรกด้วย การแพลนเราอาจจะยังไม่ได้เก่งมาก มันก็อาจจะมีหลงบ้าง มีเวลาคลาดเคลื่อนบ้างอะไรแบบนี้ครับ

Oat: สำหรับเรา เรารู้สึกว่าอันแรกมันไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะว่ามันก็คือการท่องเที่ยวที่แบบ ตกรถบ้าง คลาดอะไรบ้าง แต่มันก็ยังเป็นธรรมชาติใช่ไหมครับ แต่ว่าอันต่อไปอะ จะเริ่มมีความกดดัน เพราะว่าแบบเราก็จะมีความกดดัน เพราะว่าในแต่ละที่ที่เราไปอะ เราเตรียมมาดีรึยัง เราจะพลาดอะไรไปรึเปล่า หรือว่าเวลาไปแต่ละที่ก็จะแบบมีมุมอะไรที่เราตกไป หาไม่เจอรึเปล่า แต่ว่ามีเล็กน้อยมากนะ คือแบบว่าไม่ได้เอาไปเป็นความเครียดขนาดนั้น แต่ว่าเหมือนเวลาทำคอนเทนต์แรกใช่ไหมครับ แล้วมันดี คอนเทนต์ต่อไปเราก็จะรู้สึกว่าเรามีความคาดหวังบางอย่างที่ก็อยากจะทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ T: เหมือนคอนเทนต์แรกโพสไปก็คือปังเลย

Oat: (หัวเราะ) Oattsu: ก็โชคดีที่เหมือน algorithm facebook มันยังให้คนเห็นเยอะอยู่
Oat: ในวันนั้น (ยิ้ม)

T: เปิดเพจมานานเท่าไหร่แล้วครับ

Oat: น่าจะเกือบสี่ปีครับ
Oattsu: เฮ้ย
Oat: ใช่ น่าจะแบบสามกว่า เกือบสี่

T: โอเค สถานที่แรกที่ไปถามแล้ว ทีนี้อยากจะถามสถานที่ที่เป็นแบบ Favourite เลย ชอบที่สุด คือที่ไหนที่เราไปทำคอนเทนต์มาครับ

Oattsu: น่าจะเหมือนกันเนอะ โอ๊ตรู้สึกว่าที่ชอบที่สุดของโอ๊ตก็คือจะเป็นทริปสแกนดิเนเวียครับ ตอนนั้นเราไปแบบประมาณ 15 วัน 4 ประเทศกับ 6-7 เมืองครับ แล้วมันก็มีการนอนบนเรือด้วย นั่งรถไฟแบบหนึ่งวันเต็มๆด้วย นั่งเรือเปลี่ยนรถอะไรเยอะมาก สนุกมาก ไปหลายเมืองได้เห็นอะไรหลายอย่างเยอะมาก

Oat: จริงๆแล้วสำหรับโอ๊ต ชอบหลายที่ ญี่ปุ่นเกาหลีก็ชอบมากแต่ว่าเหมือนโอ๊ตซึเลยครับคือทริปที่ชอบที่สุดเลยคือทริป สแกนดีเนเวีย คือหนึ่งคือมันไปหลายประเทศหลายเมืองแล้วก็ช่วงเวลานานอะครับ แล้วก็โอ๊ตว่าช่วงเวลาที่เราไป มันเป็นวัยที่เหมือนเราเริ่ม Explore และค้นหาว่าตัวเองชอบอะไรครับ เหมือนในทริปนี้เรารู้สึกว่าเราเจอตัวตนของตัวเองในทริปนี้เยอะมาก มันอาจจะแบบเราพอมีเงินบ้าง เพื่อที่จะใช้ชีวิตเลือกโรงแรมที่เราอยากนอน เราแบบ ได้รู้ตัวเองว่าเราชอบอาหารแบบนี้จากการลองอะไรหลายๆอย่าง ชอบดีไซน์แบบนี้ ชอบเฟอร์นิเจอร์แบบนี้ แล้วก็ชอบเดินทางประมาณนี้ เพราะมันเหมือนกับทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่แล้วเดินทางยาวๆประมาณ 15 วัน

T: เรียกได้ว่าไปลองทุกอย่าง ไปหาว่าอะไรที่ใช่ที่สุดของเราใช่ไหมครับ น่าสนใจมากเลยครับ งั้นขอถามต่อเลยว่า เพจ OATS X SOMEWHERE จากที่ฟังมาส่วนใหญ่ก็เป็นในเรื่องของสไตล์ที่ใช่หาตัวเองแล้วก็แชร์ในแง่ของเล่าให้เพื่อนฟัง แล้วได้คิดในเชิงของธุรกิจที่เขาเรียกกันว่า ‘Self-Branding’ บ้างไหมครับ

Oattsu: โอ๊ตว่าถ้า Self Branding ของเพจ OATS X SOMEWHERE จริงๆมันก็คือตัวตนของเราสองคน เลือกจากสิ่งที่เราชอบครับ มันอาจจะเป็นพูดถึงเรื่องของดีไซน์ เวลาเราไปทริปนึง เราอาจจะไปพัก Hotel ดีไซน์หรือว่าร้านอาหารที่เป็นดีไซน์ หรือเลือกไปสถานที่ท่องเที่ยวที่มีดีไซน์ โอ๊ตก็เลยรู้สึกว่าอันนี้มันอาจจะเป็น Branding ของเพจที่เลือกไปในในที่ที่มีดีไซน์อะไรแบบนี้ครับ

Oat: สำหรับโอ๊ตก็คล้ายๆโอ๊ตซึแหละ มันเป็นเรื่องของการคัดสรรคัดเลือกสิ่งที่เราถ่ายทอดออกไปในทริปต่างๆครับ เหมือนเวลาที่ลูกเพจอ่านก็อยากจะให้เข้ารู้สึกว่าแต่ละสถานที่แต่ละร้านอาหาร โรงแรมหรือว่าที่เราไปในแต่ละประเทศนั้นๆน่ะ คือเราคิดเลือกมาแล้วในแบบของเรา ที่เราคิดว่ามันดีอะไรแบบนี้ครับ

T: แบบนี้วางตัวเองเป็น Postitioning ไหนไหมครับ ในฐานะของ Travel Influencer

Oat: จริงๆเราแค่มองว่าเราเป็นแค่ Life Style Blogger/ Life Style Page เพราะว่าสิ่งที่เราพูดในเพจมันคือทุกเรื่อง มันคือเรื่องเที่ยว โรงแรม หมู่บ้านจัดสรร ที่เราแบบคิดว่าแบบนี้มันใช่นะ ดีไซน์มันใช่เราก็พูดได้ หรือว่า Product ทุกอย่างที่อยู่ในชีวิตเราอะครับ คือมันเป็น Lifestyle ทั้งหมด เราแค่เอาออกมาถ่ายทอดเป็นมุมมองในแบบของเรา

Oattsu: ใช่ครับ เหมือนเพจอื่นๆเค้าก็อาจจะท่องเที่ยวเลย แบบเป็น adventure หรือว่าเป็นท่องเที่ยวที่เป็นทริปโรงแรมอย่างเดียว หรือเล่าเรื่องไปในท่องเที่ยวในแต่ละแบบ แต่คือ OATS x SOMEWHERE น่าจะเป็นเหมือน Lifestyle ของคนที่ชอบดีไซน์ ชอบความ Creative ชอบท่องเที่ยว มันก็เลยจะเห็นว่าเออมีไปสถานที่ท่องเที่ยว มีไปพักโรงแรม มีไป Staycation หรือว่าเลือกใช้ Product อะไรในชีวิตประจำวัน

T: แล้ว Target เราเป็นกลุ่มคนประเภทไหนครับ

Oat: จริงๆเราว่าอันนี้ พูดอาจจะยากนิดนึงครับ คือเราไม่ได้เจาะจงมาว่าเราสำหรับใครโดยเฉพาะ แต่ว่าด้วยคาแรคเตอร์อะครับ มันก็อาจจะเป็นคนวัยทำงาน จะโตนิดนึง ที่จะเข้าใจไลฟ์สไตล์พวกนี้ ที่สามารถไปตามอะไรแบบนี้ แต่เราเชื่อว่าเด็กๆก็มีแหละ คือจริงๆถ้าดูตามเพจมันก็จะประมาณแบบ 25-40 ปีที่เยอะ แล้วก็จะเป็นผู้หญิงเยอะ ที่จะแนะนำให้ผู้ชายไปทำตาม แบบเหมือนแฟนอะครับ ดูแล้วก็นี่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้สิ อะไรแบบนี้ครับ

T: ก็เรียกได้ว่าไม่ได้จำกัดอายุ แต่เป็นเรื่องของไลฟ์สไตล์เลย

Oattsu: ใช่ เพราะว่าจริงๆที่เคยเจอมาก็มีน้องที่เป็นเด็กมากที่มาบอกว่า ตามไปทริปนึง เราก็เลย เออ น้องก็คือเด็กมากแต่ก็สามารถไปทริปนั้นได้ ก็คือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุหรือว่าอะไรเลย แต่มันขึ้นอยู่กับว่าใครชอบเหมือนกับเราแล้วอยากที่จะไปตามมากกว่าอะไรแบบนี้ครับ

T: ก็ค่อนข้างชัดเจนเลย แล้วมีการ Control หรือว่า Evaluate ตัวคอนเทนต์ยังไงบ้าง ให้อยู่ในแพลน อยู่ใน Positioning ที่ตัวเองวางไว้ นอกเหนือจากความชอบและสไตล์ของเรา มีในแง่มุมอื่นๆบ้างไหมครับ

Oat: จริงๆแล้วเราไม่ได้วางแผนขนาดนั้น มันก็ดำเนินไปตามธรรมชาติตามโอกาสที่มันเกิดขึ้น เรื่องนี้เราอาจจะต้องอธิบายว่าทุกอย่างมันก็คือตัวตนอะไรแบบนี้ครับ คือบางทีตัวตนเราอาจจะชัดขึ้นโตขึ้น คอนเทนต์เราก็จะไปในแนวทางนั้น แต่ว่าเราไม่ได้แบบวางแผนว่ามันจะต้องเป็นยังไง ก็คือถ่ายทอดทุกอย่างตามความชอบ แล้วก็การใช้ชีวิตในปัจจุบันเลย


T: แล้วมีมุมมองยังไงเกี่ยวกับสถานการณ์ Covid19 ในปัจจุบันในฐานะ Travel Influencer บ้างครับ

Oattsu: ช่วงนี้ก็อาจจะไปเที่ยวยากขึ้น แต่โอ๊ตก็รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นช่วงที่ทุกคน อาจจะรู้จักตัวเองมาก แล้วก็คุยกับตัวเองได้มากว่าจริงๆแล้วชอบอะไร แล้วพอสมมติเราเปิดประเทศท่องเที่ยวได้สมบูรณ์แบบแล้ว ทุกคนก็อาจจะสามารถที่จะ Create Content ได้มีความยูนีคในแบบของตัวเองได้มากขึ้น T: ก็มองในแง่ดีว่าตอนนี้จะเป็นช่วงที่ทุกคนจะหาตัวตนของตัวเองใช่ไหมครับ

Oat/Oattsu: ใช่ครับ

Oattsu: เหมือนทุกคนก็อาจจะอยู่บ้านได้มีเวลาคุยกับตัวเอง ได้หา Inspiration ใหม่ๆ เพราะว่าบางทีถ้าสมมติว่าเราไปเที่ยวบ่อยๆเยอะๆมาก บางเราก็อาจจะอยู่กับสิ่งที่ตัวเองอยู่ตรงหน้าแต่ว่าไม่ได้รู้ว่าตัวเองจริงๆแล้วชอบอะไร อาจจะเหมือนไปตรงนี้ก็ชอบแบบนี้ แต่ว่าบางทีอาจจะลืมไปว่าจริงๆแล้วสิ่งที่ตัวเองชอบคืออะไร ช่วงนี้ก็อาจจะเป็นช่วงนี้คนได้ลองคิดทบทวนกับตัวเองให้รู้ว่าตัวเองจริงๆชอบอะไร

Oat: สำหรับโอ๊ต โอ๊ตมองว่ามันอาจจะเป็นโอกาสให้หลายๆคนได้ Explore ความสามารถอื่นๆ สมมติว่าบางคนอาจจะแบบชอบเที่ยวอย่างเดียว แต่พอมันเที่ยวไม่ได้ เขาก็อาจจะเจอกับความชอบหรือความถนัดอย่างอื่น ก็เลยมองว่ามันก็เป็นช่วงที่ค้นหาตัวเองแหละ แล้วก็อาจจะเป็นช่วงที่ลิสท์ไว้แล้วก็เปิดประเทศเมื่อไหร่ เดี๋ยวจะได้เที่ยวในสิ่งที่อยากเที่ยว

 

T: ตอนนี้ก็คงเน้นเป็น Lifestyle หรือเที่ยวในประเทศมากขึ้น

Oat: จริงๆเราพักผ่อนตัวเองจากการทำงาน โดยการที่เลือกที่จะไป ‘Staycation’ ที่โรงแรมในกรุงเทพเยอะขึ้น เพราะเราก็มองว่าหนึ่งมันก็เป็นการช่วย Business ในไทยด้วย สองคือราคาช่วงนี้มันก็มีโปรโมชั่นที่ดีมากๆ ก็คือได้คอนเทนต์ใหม่ๆแล้วก็ได้พักผ่อนตัวเองด้วย

T: ขอถามชื่อเพจหน่อย ‘OATS x SOMEWHERE’ Oats เติม s ก็คือมาจากทั้งสองท่านใช่ไหมครับ ก็คือคุณโอ๊ตและคุณโอ๊ตซึ แต่ว่าคำว่า ‘SOMEWHERE’ นี่เกิด Inspiration มาจากไหนครับ

Oattsu: เหมือนตอนสามปีกว่าที่แล้ว ที่เราเพิ่งเริมทำเพจเราก็เห็นว่าคำว่า ‘x’ จะชอบใช้ในลักษณะของการ Collaborate กันกับแบรนด์ต่างๆใช่ไหมครับ เราก็เลยรู้สึกว่า งั้นโอ๊ตสองคนไป Collaborate กับสถานที่ต่างๆ ประมาณนั้นมากกว่า

Oat: เวลาเราไปตามสถานที่ต่างๆมันก็จะเป็น ‘OATS x TAIWAN’ ‘OATS x SCANDINAVIA’ อะไรแบบนี้ครับ เราก็เลยรู้สึกว่าด้วยความที่ชื่อเหมือนกันเติม S แล้วก็ไป X ตามประเทศต่างๆเป็นชื่อห้อยต่อลงมา มันก็ดูน่าสนใจ น่ารักดี

T: จากที่ติดตามทั้งสองคนมานะครับ ก็พอได้เห็นแล้วว่าเคยไปประเทศญี่ปุ่นมา อยากรู้ว่าชอบอะไรบ้างที่ประเทศญี่ปุ่นในมุมมองของทั้งสองคน

Oattsu: โอ๊ตชอบที่ทุกอย่างเขาดูแข่งกันในแง่ของ Quality ของโปรดักของตัวเอง แบรนด์เสื้อผ้าเขาก็จะมีคัดติ้งที่ดี เนื้อผ้าที่ดี หรือร้านขนมก็แข่งกันทำให้ขนมตัวเองอร่อยแล้วก็มีความยูนีคในแบบของตัวเอง แม้แต่กระทั่งข้าวที่ดีหรือชาเขียวที่ดีจะต้องมาจากเมืองนู้นเมืองนี้ หาไม่ได้จากที่อื่นอะครับ ก็เลยรู้สึกว่าเหมือนญี่ปุ่นจะทำให้โปรดักของตัวเองเนี่ย มีความยูนีคแล้วก็มีคุณภาพมากๆ

Oat: จริงๆญี่ปุ่นเป็นอะไรที่ชอบมาก แล้วก็อยากกลับไปเป็นประเทศแรกๆหลังจากโควิดเลยครับ คือชอบทุกอย่างเลยวัฒนธรรมผู้คนด้วยนิสัยของการใส่ใจทุกอย่างของเขา ก็เลยชอบ แล้วก็เป็นประเทศที่เราชอบอาหารของเขาบ้าง คือว่าเวลาไปญี่ปุ่นเจอร้านข้างทางก็รู้สึกว่าทานได้หมด เพราะรู้สึกว่ายังไงก็อร่อย เป็นอาหารที่เข้าถึงทุกคนได้ง่ายแล้วก็เป็นประเทศที่ไปแล้วช็อปปิ้งเสื้อผ้าเยอะที่สุด ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะไซส์ที่เหมาะกับคนเอเชียด้วย หรือพวกดีเทลต่างๆหรือ Selection ที่ญี่ปุ่นมันดีกว่าที่อื่นด้วยครับ

T: แล้วถ้าเป็นสไตล์ของแฟชั่น เราจะนิยามตัวเองว่าเราแต่งตัวสไตล์ไหน

Oat: เราจะเป็นคนที่เสื้อผ้าเราจะเป็น silhouette ที่มันเรียบๆง่ายๆแต่ว่าเน้นไปที่ดีเทลหรือสี คือทรงเดิมๆแต่ว่าอาจจะเป็นสีที่ดูสดขึ้น อย่างที่ใส่อยู่ก็คือเป็นแดงเข้มขึ้นมา หรือเป็นสีเขียวป๊อปขึ้นมาอะไรแบบนี้ครับ แต่ส่วยใหญ่จะเป็นแบบเรียบๆ

Oatsu: ของผมน่าจะเป็นทรงที่มัน Oversize หน่อยครับ ทั้งเสื้อแล้วก็ทั้งกางเกง อย่างกางเกงก็จะชอบใส่ขากระบอกที่มันใหญ่หน่อย กับ Sneaker แล้วก็เสื้อเชิ้ตที่เป็นทรง Oversize หน่อยทั้งแขนสั้นแขนยาวเลยครับ ส่วนสีก็ตามที่เราชอบแล้วมันแมทช์กันครับ

T: แล้วถ้าให้เลือก 1 ไอเท็มที่ต้องมีติดตู้เลย จะเป็นอะไรครับ

Oattsu: ของโอ๊ตน่าจะเป็นเสื้อเชิ้ต เพราะว่าใส่ทุกวัน (หัวเราะ) เสื้อเชิ้ตแบบ Oversize ครับมันก็จะสบายด้วยแล้วก็ทำงานคล่องตัวด้วยครับ เพราะว่าเวลาโอ๊ตถ่ายรูปบางทีอาจจะต้องวิ่ง หรือว่าต้องนั่ง หมอบ ยืน เขย่งอะไรแบบนี้อะครับ หรือแม้แต่กระทั่งอยู่ที่คาเฟ่ของตัวเอง เวลทำงานมันง่ายๆแล้วก็สะดวกด้วย

Oat: สำหรับผม ชิ้นที่ควรจะมีแล้วก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดก็คือ จะชอบเป็น Overshirt หรือว่า Blazer แบบที่โอ๊ตซึใส่เลยเพราะว่าเมื่อก่อนทำงานออฟฟิสแล้วเราก็จะใส่กางเกงง่ายๆหรือเสื้อยืดคอกลม แต่ว่ามีประชุมเราแค่หยิบOvershirtแบบสีกรมก็ได้ มาใส่มันก็ดูเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราจะใส่กับกางเกงขาสั้นก็ได้ ซึ่งมันก็ทำให้ดูเข้าที่เข้าทางขึ้นเยอะ

T: แล้วคิดเห็นยังไงกับแฟชั่นผู้ชายในเมืองไทยในปัจจุบัน

Oattsu: โอ๊ตขอวัดจากกลุ่มเพื่อนที่รู้จักแล้วกันนะครับ โอ๊ตรู้สึกว่าคนเดี๋ยวนี้เลือกเยอะมากขึ้น ถ้าจะเป็นเรียบๆก็อาจจะดูที่คัตติ้งที่ดีมากขึ้น หรือว่ามองหาแบรนด์ใหม่ๆที่น่าสนใจแล้วก็มี Quality เหมือนกำลังสรรหาสิ่งใหม่ๆแล้วก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง

Oat: คือถ้าให้พูดถึงปัจจุบันนี้ เราก็รู้สึกว่าคนแต่งตัวดีขึ้น เก่งขึ้น มีการมิกซ์แอนด์แมทช์ที่ดีขึ้น ในทุกๆเรื่อง ซึ่งบางทีเราก็อาจจะดูคนอื่นเขาด้วยซ้ำว่าแต่งตัวกันยังไง Oatsu: ใช่ เหมือนเพื่อนใช้อะไรใน Social Media เราก็จะมีถามว่าอันนี้คืออะไร หรือว่าแม้แต่กระทั่งบางทีเราโพสลงก็มีเพื่อนถาม เหมือนเราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเนอะ

T: แล้วในฐานะ Travel Influencer คิดว่าการแต่งตัวจำเป็นมากแค่ไหนครับ Oattsu: การแต่งการของเรามันก็คือจะ Express ความเป็นเราออกมาได้ดีที่สุดอะครับ แล้วพอมันไปประกอบกับสถานที่ที่เราเลือก มันกลายเป็นว่าพอความเป็นตัวเราไปอยู่่ในสิ่งที่เราชอบ พอเราถ่ายรูปออกมาหรือนำเสนอออกไปมันอาจจะทำให้คนเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่าจริงๆแล้วเราเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร หรือมีไลฟ์สไตล์แบบไหน พอคนที่เค้ามีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกันหรือความชอบแบบเดียวกันมาดูเค้าก็จะเข้าใจแล้วเค้าก็จะอินไปมากขึ้นอะครับOat: สำหรับเรา จริงๆเหมือนโอ๊ตซึเลย มันเป็นตัวที่ทำให้คนรู้จักเราได้ดียิ่งขึ้นผ่านการแต่งตัว ว่าไลฟ์สไตล์เป็นยังไง คาแรคเตอร์เป็นแบบไหน แล้วก็สำหรับเราการแต่งตัวที่เหมาะสมกับโอกาสและสถานที่ที่ไปก็จะช่วยให้ภาพมันออกมาดียิ่งขึ้น หรือว่าการเลือกสีที่มันช่วยส่งเวลาที่เราไปอยู่ในภาพให้เข้ากันมากยิ่งขึ้น Oatsu: อันนี้คือในแง่ของการถ่ายภาพนะครับ

Oat: ในแง่ของการถ่ายภาพ เพราะว่าบางทีเราก็อยากให้คนดูภาพเราแล้วรู้สึกว่ามัน Smooth ไปทั้งหมด เข้ากันไปทั้งหมดอะไรแบบนี้ครับ

T: ช่วยพูดถึงชุดที่แมทช์มาในวันนี้ที่คุณโอ๊ตทั้งสองเลือกไอเท็มมาจาก ทาเคโอะ คิคูชิ หน่อยครับ

Oattsu: ของโอ๊ตนะครับ เป็นเสื้อ Overshirt สีน้ำตาลใส่กับกางเกงสี Olive นะครับ โอ๊ตชอบคู่สีนี้มากๆเพราะมันก็เป็นสีน้ำตาอ่อนกับเขียวอ่อน แล้วก็ลักษณะของ Overshirt โอ๊ตก็ใส่เสื้อ Polo ข้างในทำให้ดูเหมือนสบายๆแต่ก็สามารถดูเป็นทางการได้ครับ

Oat: วันนี้เราจะออกเป็นแบบสีแดงออกน้ำตาลนิดนึง เพราะว่าแอบเดาก่อนว่าจะได้มาถ่ายที่ห้องนี้ (ยิ้ม) ก็เลยรู้ว่ามันน่าจะ Pop ออกมาจากห้อง แล้วก็ที่เลือกชุดนี้ครับ จริงๆถ้าสมมติว่าเราถอด Blazer ออกมันก็ดูสบายๆได้ พอใส่ก็ดูเป็นทางการแต่ก็ไม่ได้ดูเป็นทางการมากจนเกินไป จริงๆชีวิตประจำวันก็ประมาณนี้เลย จริงๆเราสองคน ความตลกก็คือว่า เราจะไม่ได้นัดกันแต่งตัวแต่สิ่งที่เรามีมันดันใกล้กันพอดี แล้วพออยู่ด้วยกันมันก็เข้ากันพอดีในหลายๆครั้ง

T: เมื่อกี้พูดถึงเรื่องสี เรื่ององค์ประกอบของภาพเนอะ คือทางเพจมีเอกลักษณ์มากๆในการถ่ายรูป ในการจัดวาง Layout มีเทคนิคหรือเคล็ดลับอะไรบ้าง

Oat: ส่วนใหญ่ในเพจโอ๊ตซึเค้าจะเป็นคนถ่ายเป็นหลักอยู่แล้ว ที่เราแอบดูอะครับ คือเค้่าจะเป็นคนชอบอะไรที่เป็น Grid แบบ Archtecture ที่เส้นมันคมๆ เวลาถ่ายเค้าจะมีเทคนิคแบบเส้นนำสายตาอะไรแบบนี้

Oattsu: เอ่อก็นิดนึงครับ ( หัวเราะ ) เหมือนประมาณว่าเราจะหาจุดโฟกัสที่เป็นจุดเด่นของภาพหนึ่งจุดแล้วหลังจากนั้นเราก็อาจจะมีการทิ้ง Space บ้าง คือมันไม่จำเป็นว่าสิ่งที่เราอยาก Focus มันจะต้องอยู่กลางภาพครับ บางทีพอมันมี Space มันก็อาจจะทำให้สิ่งที่อยู่ห่างออกมาจาก Space นั้นมันเด่นได้ประมาณนี้ครับ

T: ขอพูดถึงในฐานะผู้ประกอบการบ้าง Dropbydough มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปทางไหนบ้างไหมครับ

Oat: การดำเนินไปของ Dropbydough ทั้งหมดทั้งมวลเราไม่ได้อยากให้มองว่าเราขยายสาขาไปกี่สาขา แต่ว่าอยากให้มองว่าเราตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพของโดนัทให้มันมีคุณภาพที่ตามมาตราฐานแล้วก็มีรสชาติใหม่ๆที่น่าสนใจแล้วก็สนุกขึ้นครับ รวมถึงมี Product ใหม่ๆที่เกียวกับโดนัทมากยิ่งขึ้นครับ

Oattsu: สำหรับเรา เรารู้สึกว่าพอเรายิ่งทำร้านแรกมันก็สนุก ได้คิดรสชาติใหม่ๆ ได้ร่วมโปรเจคกับคนใหม่ๆ มันก็เลยทำให้เกิดสาขาสองขึ้นมา เหมือนเราก็ได้คิดว่าสาขาสองจะเป็นยังไง ตรงนี้มันก็สรุปมากขึ้น พอเหมือนต่อไปเรากำลังจะมีสาขาที่สามที่เอ็มควอเทียร์นะครับ มันก็เป็นโปรเจคใหญ่ของเรามากๆมันก็ยิ่งทำให้เราคิดถึงสิ่งใหม่ๆที่จะอยู่ในร้านมากขึ้น เพราะว่ามันก็มีรู้จักมาประมาณนึงแล้ว แล้วเค้าก็อาจจะกำลังจับตาดูอยู่ มันก็เลยทำให้เราตื่นเต้นแล้วก็สนุกที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมา

Oat: ซึ่งแต่ละที่ เราตั้งใจจะใส่ความแตกต่างในแต่ละที่อยู่แล้วครับ ก็จะมีเมนูใหม่ๆที่ต่างกันในแต่ละสาขา มีฟิลลิ่งใหม่ๆที่ลูกค้าไปแล้วจะเจอ ก็เราอยากจะให้ลูกค้าตื่นเต้นทุกครั้งที่ไปที่ร้านเราเสมอ T: แอบบอกได้ไหมครับว่าที่เอ็มควอเทียร์จะเป็นประมาณไหน

Oat: คือจริงๆ Space ก็จะกว้างขึ้น ทำอะไรได้มากขึ้น แล้วก็จะมีเมนูใหม่ๆที่ Based มาจากโดนัทที่เราถนัดอยู่แล้วก็อยากให้รอติดตาม

T: แล้วในระยะยาวล่ะครับ มีแผนจะขยายสาขาไปเรื่อยๆไหม หรือมีแพลนที่จะลองเบี่ยงไปทำ Business อื่นบ้างไหม

Oattsu: โอ๊ตว่าอันนี้เราก็ต้องดูถึงกระแสตอบรับ แล้วก็โอกาส ความมั่นคงของแบรนด์ด้วยนะครับ ถ้าจะให้โอ๊ตมองระยะยาว อาจจะมีสาขาเพิ่มแต่ว่าอาจจะไม่ได้บอกได้ว่าภายในปีนี้หรือปีหน้า เราคงต้องดูอะไรหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน เพราะว่าไม่อยากให้ส่งผลต่อ Quality หรือสิ่งต่างๆที่เราทำมาครับ

Oat: คือเหมือนทุกการตัดสินใจในการเดินไปของ Drop by dough ไม่ว่าจะมีสาขาใหม่หรือมีโปรโมชั่น เราคิดกันหนักมากๆ แล้วก็เราก็อยากให้ทุกการตัดสินใจในการเติบโตของเราอะครับ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้่วก็มีผลกระทบกับแบรนด์น้อยที่สุดครับ โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพของโดนัท เราอยากให้เมื่อลูกค้าทานโดนัทที่สาขาไหนก็อร่อยเหมือนกันทั้งหมด ดังนั้นเราก็เลยต้องคิดเยอะนิดนึงแหละว่าเราจะส่งถึงมือลูกค้ายังไง เพราะว่าโดนัทมันเป็นขนมทอดอะครับ ที่ถ้าสมมติว่าวันนั้นอะ เราขายไม่หมดหรือว่าลูกค้าซื้อไปแล้วทานไม่หมดต่อวัน เราก็ขายต่อไม่ได้แล้ว รสชาติมันก็เปลี่ยนไปคุณภาพมันก็เปลี่ยนไป ดังนั้นทุกการตัดสินใจและการขยายเราก็ต้องคิดกันดี

Oat: ตอนที่เราจะขยายที่อารีย์อะครับ เราก็ต้องทำการบ้านกันหนักมาก เพราะว่าเราต้องเช็คพนักงานด้วยว่า กำลังการผลิตพอไหม มีกำลังการขนส่งที่ดีที่จะเสิรฟ์ Quality เหมือนอย่างทางที่ร้านอุดมสุขได้ไหมอะไรแบบนี้อะครับ การที่เราจะขยายสาขานึงเราต้องเตรียมการแล้วก็เช็คกำลังของตัวเองด้วย

T: แอบรู้มาว่าจะมีโรงแรมด้วย

Oat: ใช่ครับ จริงๆมันมาตั้งแต่ต้นเลย โรงแรมอะครับมันจะอยู่ที่ สุขุมวิท 101/2 เราตั้งใจสร้างให้มันเป็น ‘โรงแรม’ ไม่ใช่ Hostel ก็คือว่ามันเกิดมาจากการที่เราไปสแกนดีเนเวียนี่แหละ แล้วก็ได้ไปพักหลายๆโรงแรม ก็จะมีทั้งแบบโรงแรมจริงจังหรือโรงแรมที่อยู่ตามตึกแถวอะครับ แต่ว่าพอเราเข้าไปอะ เราก็รู้สึกเหมือนอยู่โลกใหม่ มันไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ในตึกแถวใดๆเลย ซึ่งเราก็ว้าวมาก แล้วก็อยากจะมาทำของตัวเองแหละ จริงๆเตรียมการกันแล้วก็ดีไซน์กันเสร็จแล้วแหละ แต่ก็ติดที่ Covid ที่แหละครับ เราก็เลย Pause ไว้ก่อน แล้วถ้าสถานการณ์ดีขึ้นเราก็จะกลับมาอีกที

T: ถ้าเกิดการสัมภาษณ์ครั้งนี้มียอดวิวเยอะ ทาเคโอะ คิคูชิ อยากจะชวนทั้งสองท่านไปทำ Content ด้วยกันที่ญี่ปุ่น

Oattsu: ว้าว
Oat: ได้เลยครับ ยินดีครับ
Oattsu: (หัวเราะ) อยากไป

T: คุณผู้ฟังจะต้องช่วยแชร์ด้วยนะครับ จะได้ไปญี่ปุ่นด้วยกัน ก็จะได้เห็น ทาเคโอะ คิคูชิและ Oats x SOMEWHERE ที่ญี่ปุ่นนะครับ

T: สำหรับวันนี้เราก็ได้เจาะลึกกันพอสมควรนะครับ หวังว่าทุกท่านคงจะได้ไอเดียดีๆ แล้วก็ Inspiration ไปต่อยอด สำหรับใครที่อยากจะเป็น Travel Influencer นะครับ ก็ได้รู้เคล็ดลับนี้ไปแล้วนะครับ ก็เชื่อว่าทั้งสองท่านนะครับ ก็เป็นไอดอลของทุกๆคนที่อยากจะเป็น Travel Influencer ตามอย่างแน่นอน นะครับ ก็วันนี้ทางแบรนด์ TAKEO KIKUCHI ขอขอบคุณทั้งสองคนมากนะครับ

Oattsu: ขอบคุณครับ
Oat: ขอบคุณครับ

รับฟัง PODCAST TAKEO KIKUCHI ได้ที่ https://youtu.be/Jxj1tdAcMY8